148 จำนวนผู้เข้าชม |
ชาวบ้าน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ให้ช่วยเร่งกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่มีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมายของบริษัทนายทุนปาล์มน้ำมัน ตามคำสั่งศาลปกครองตั้งแต่ต้นปี 64 ระบุก่อนหน้านี้เคยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับ “พีระพันธุ์” ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม กระทั่งสั่งให้ดีเอสไอลงช่วยหาหลักฐานจนเป็นที่มาของคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันกรมที่ดินยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2565 ที่โรงแรมแก้วสมุย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อนายนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กรณีถูกบริษัทปาล์มน้ำมันฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ และแจ้งข้อหาบุกรุก หลังเกิดกรณีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินมายาวนานกว่า 15 ปี
ตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า ชุมชนสันติพัฒนาเป็นหนึ่งในชุมชนของสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ ที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของเกษตรกรและแรงงานไร้ที่ดิน ได้ต่อสู้ฟ้องร้องกับบริษัทธุรกิจน้ำมันปาล์มแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินมาตั้งแต่ปี 2550 หลังจากชาวบ้านถูกฟ้องบุกรุกและขับไล่ออกจากพื้นที่ โดยบริษัทปาล์มน้ำมันรายดังกล่าว อ้างว่ามีเอกสารสิทธิในที่ดิน ก่อนหน้านี้ซึ่งชาวบ้านได้เคยทำหนังสือร้องเรียนของความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ ซึ่งในขณะนั้น ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้เพื่อขอให้ นายพีระพันธุ์ ตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิ์ ที่บริษัทนำมากล่าวอ้างว่ามีที่มาที่ถูกต้องหรือไม่
จากนั้นต่อมา นายพีระพันธุ์ ได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว พร้อมกับลงพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นด้วย จากการตรวจสอบข้อมูลในครั้งนั้น พบว่าพื้นที่เกิดเหตุมีสภาพเป็นสวนปาล์มน้ำมัน และมีชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนาได้เข้าไปอาศัยอยู่กันเป็นชุมชน โดยบริษัทได้เข้าไปทำสวนปาล์มน้ำมันซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากและเป็นเวลายาวนานมาถึง 30 ปี เมื่อหมดสัมปทานกลับพบว่าบริษัทปาล์มน้ำมันดังกล่าว กลับนำไปออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. จำนวน 23 แปลง พวกชาวบ้านจึงมีข้อสงสัยว่า น.ส.3 ก. ดังกล่าวออกมาโดยชอบหรือไม่ เพราะเป็นการออกเอกสารสิทธิในพื้นที่สัมปทานของรัฐ นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพหาแนวทางในการคุ้มครองสิทธิให้แก่ชาวบ้านด้วย
นอกจากนี้ ตัวแทนชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา ยังกล่าวต่ออีกว่า จากการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังได้พบหลักฐานหลายอย่าง ทั้งจากข้อมูลของกรมป่าไม้ และคำให้การของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริษัทปาล์มน้ำมันรายดังกล่าว ได้มีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ดังนั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงนำพยานหลักฐานที่ได้มาไปช่วยแก้ต่างให้กับชาวบ้านที่ถูกบริษัทปาล์มน้ำมันรายนี้ ฟ้องขับไล่และฟ้องบุกรุกทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ในขณะนั้น ในกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้พิพากษาให้ชาวบ้านแพ้ทั้งคดีแพ่งและอาญา พร้อมทั้งพิพากษาตัดสินขับไล่ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่ พร้อมทั้งให้จำคุกชาวบ้านเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน แม้จะได้มีการต่อสู้โดยนำเรื่องฟ้องต่อศาลปกครองและศาลได้รับฟ้อง และนำคำสั่งศาลปกครองที่รับฟ้องและอยู่ระหว่างการพิจารณาไปยื่นต่อศาลอุทธรณ์ และชั้นศาลฎีกา แต่ทั้งสองศาลดังกล่าว ก็ยังคงมีคำพิพากษาให้ชาวบ้านแพ้คดี
แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีที่ชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี ที่ได้ยื่นฟ้องกรณีดังกล่าวว่า การออกเอกสารสิทธิ์ของบริษัทปาล์มน้ำมันรายนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมสั่งให้อธิบดีกรมที่ดิน และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาพระแสง เพิกถอนหรือแก้ไขเอกสารสิทธิที่ดินของบริษัทปาล์มน้ำมัน ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และให้อธิบดีกรมป่าไม้ไปดำเนินการให้บริษัทออกจากที่ดินพิพาท
แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน อธิบดีกรมที่ดิน ก็ยังไม่ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว แม้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนการตรวจสอบไปยังกรมที่ดิน เพื่อขอให้เพิกถอนที่ดินทั้ง 23 แปลง และชาวบ้านชุมชนสันติพัฒนา ก็ยังได้มีหนังสือขอให้กรมที่ดินพิจารณาเพิกถอน แต่กลับได้รับการปฏิเสธ จึงเดินทางมาขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ เพื่อข้อให้เร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง
นายพีระพันธุ์ กล่าวภายหลังรับข้อร้องเรียนของชาวบ้านว่า ตนเข้าใจในความเดือดร้อนของชาวบ้านที่มีมาเป็นเวลานาน เพราะเรื่องที่ดินทำมาหากินเป็นเรื่องสำคัญของทุกคนในการประกอบอาชีพ ซึ่งกรณีนี้ได้เคยให้ดีเอสไอมาตรวจสอบและเคยได้รับรายงานว่าเอกสารสิทธิ์ของนายทุนดังกล่าวมีที่ได้มาโดยมิชอบ หลังจากได้รับข้อมูลต่างๆ ในวันนี้แล้ว ตนจะได้ประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมที่ดิน ให้มาดำเนินการตรวจสอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมเร่งรัดให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครอง พร้อมหาแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนต่อไป