พ.ศ. 2502
เกิดที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เจ้ากรมการพลังงานทหาร และผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิง และ นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม: สุมาวงศ์) อดีตดาวจุฬาฯคนแรก
พ.ศ. 2508-2519
ศึกษาในระดับประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
พ.ศ. 2520-2524
ศึกษาในระดับปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2524-2525
ศึกษาต่อในระดับเนติบัณฑิต (เนติบัณฑิตไทย รุ่นที่ 34) สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
พ.ศ. 2526-2528
ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านกฏหมายเปรียบเทียบ และกฏหมายอเมริกันทั่วไป ที่ Tulane University, New Orleans, Louisiana, USA
พ.ศ. 2529-2535
เข้ารับราชการเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ก่อนย้ายไปเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดตาก ผู้พิพากษาศาลจังหวัดธัญญบุรี ผู้พิพากษาประจำกระทรวง (ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิชาการ สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม) และผู้พิพากษาประจำกระทรวง (ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลแพ่ง) ตามลำดับ
พ.ศ. 2535
เข้าสู่เวทีการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 3 (พญาไท จตุจักร ทุ่งสองห้อง) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 4 จากจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตทั้งหมด 3 ที่นั่ง
พ.ศ. 2535 – 2536
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. 2536 – 2537
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
พ.ศ. 2537 – 2538
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พ.ศ. 2538 – 2539
เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2539-2544
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 5 ห้วยขวาง ดินแดง คลองเตย (แขวงคลองเตยเหนือ) และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2539
เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (รัฐบาลนายชวน หลีกภัย)
มีบทบาทสำคัญในการยกร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับ อาทิ พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ( ‘พ.ร.บ.ฮั้วประมูล’ ) และการเสนอร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ทำหน้าที่กรรมาธิการ และเลขานุการคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2540-2543)
เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการการทหารพิจารณาศึกษาสมรรถนะกองทัพในการป้องกันประเทศ (พ.ศ. 2541-2543)
พ.ศ. 2544 – 2548
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 2 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2544
เป็นประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
สร้างผลงานมากมายจนได้ฉายา “มือปราบทุจริต” อาทิ การสอบสวนคดีจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ปลอม การสอบสวนกรณีการจัดซื้ออาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการสอบสวนการทุจริตคดี "ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท" ซึ่งสามารถช่วยปกป้องผลประโยชน์ของชาตินับหมื่นล้านบาท
เป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อ พ.ศ. 2545 กรณีการซ่อมเฮลิคอปเตอร์ ฮ.6 และกรณีจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV เมื่อ พ.ศ. 2547
พ.ศ. 2548-2549
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 3 ในปี พ.ศ. 2548
เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณางบประมาณและขีดความสามารถของกองทัพ
พ.ศ. 2549-2550
นำทีมบุกสำนักงาน กกต. เปิดโปงหลักฐานการแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองย้อนหลังเพื่อช่วยเหลือให้มีการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ นำไปสู่การยกเลิกการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 และเป็นผลให้กรรมการ กกต.หลายคนต้องติดคุก
ช่วยเหลือ พลเอกปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ อดีตที่ปรึกษากองทัพไทย ยกร่างกฎหมายระเบียบข้าราชการทหารฉบับใหม่ ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพิจารณากฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์
พ.ศ. 2550 – 2551
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 4 ในปี พ.ศ. 2550 โดยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของเขต 3 (ห้วยขวาง ดินแดง เขตพญาไท)
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร คนที่หนึ่ง
ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณานโยบาย งบประมาณ และประสิทธิภาพกองทัพ
ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาคุณสมบัติผู้สมควรดำรงตำแหน่งกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552
เป็นหนึ่งในผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีต่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหาร และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2551
ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และตรวจแนวชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวจนถึงเส้นแนวเขตแดนในทะเล
ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหารทุกเหล่าทัพในการปฏิบัติหน้าที่และแก้ไขปัญหาด้านขวัญกำลังใจของทหารหลักและทหารพรานอย่างต่อเนื่อง
เป็นผู้ยกร่างนโยบายด้านการทหารและการป้องกันประเทศ นโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
เป็นผู้ร่างนโยบาย “คดีทุจริตไม่มีอายุความ” เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เด็ดขาด
เป็นผู้ร่างนโยบายที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชนในอนาคต และนโยบาย “กรุงเทพมหานคร”
เป็นเจ้าของความคิด “ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศและการดูแลสังคม”
ได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ให้ทำหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา เมื่อต้นปี พ.ศ. 2551
พ.ศ. 2551 – 2554
ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551
เป็นผู้ริเริ่มหลากหลายโครงการที่ช่วยอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนอย่างเสมอภาคภายใต้กรอบแนวคิด ‘ยุติธรรมเพื่อประชาชน’
พ.ศ. 2554 – 2556
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 5 ในปี พ.ศ. 2554